• [6851-7q]
    2025/12/19

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    続きを読む 一部表示
    57 分
  • ผาสุกได้ด้วยแยกกายแยกจิต [6850-7q]
    2025/12/13
    Q: เมื่อหมดสติ จิตรับรู้ได้หรือไม่ และมีทางช่วยให้ไปดีได้อย่างไร?A: คนเรามี 2 ส่วน คือ นามกับรูป แม้กายจะรับรู้ได้ไม่เต็มร้อย แต่จิตรับรู้ได้ เพราะเขายังมีวิญญาณคือการรับรู้ทางใจ เขาจึงยังรับรู้กุศลและอกุศลได้อยู่แน่นอน สิ่งที่เราจะช่วยเขาได้ก็ด้วยการแผ่เมตตา ด้วยจิตที่เต็มไปด้วยกับเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา สัมผัสกายเขาไปด้วย พูดกับเขาด้วยจิตที่มีเมตตา เขาจะรับรู้ได้ สิ่งนี้คือการช่วย ในฐานะที่เป็นบุคคลใกล้ชิด ให้เขาพร้อมมีจิตใจที่ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ Q: มีวิธีเตรียมจิตรับมือเมื่อเกิดภาวะวิกฤติได้อย่างไร?A: เราต้องฝึกสติ เมื่อมีสติเราก็จะสามารถสังเกต แยกแยะ แยกตัว แล้วจะแยกกายแยกจิตได้ พอเราฝึกบ่อย ๆ จนชำนาญ เราจะเลือกได้ว่าเราจะเอาจิตของเราไว้ตรงไหน หรือจะใช้วิธี “ทุกขาปฏิปทา” คือจี้จ่อลงไปตรงความปวด พิจารณาลงไป จนไม่เหลืออะไร ก็จะเห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน หรืออีกวิธีหนึ่งคือ “สุขาปฏิปทา” คือ ตั้งสติให้เกิดสมาธิ พอมีสมาธิจิตเราจะไม่ไปข้องแวะกับความปวดนั้น จิตเรามาหาความสุขในสมาธิแทน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องหมั่นฝึกไว้ตั้งแต่ที่เรายังแข็งแรงอยู่ Q: สังขารคืออะไร พระอรหันต์พิจารณาแยกนามรูปอย่างไร?A: สังขาร คือ “การปรุงแต่ง” ท่านอธิบายไว้ 3 นัยยะ คือ 1) กายสังขาร มโนสังขาร วจีสังขาร 2) สังขาร 6 คือ สังขารทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ และ 3) สังขารที่อยู่ในส่วนของปฏิจจสมุปบาท ทุกอย่างที่อยู่ในโลกนี้เป็นสังขารทั้งหมดการพิจารณา โดยนัยยะที่ 1 สร้างกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว ทำตามมรรค 8นัยยะที่ 2 รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ตัวทุกข์ว่าตัวมันเป็นยังไง รู้ความดับไม่เหลือ รู้ประโยชน์และโทษของมันนัยยะที่ 3 การปรุงแต่งทั้งหมดในโลกนี้เป็นสังขาร ความไม่รู้รอบทั้งหมดเรียกว่าอวิชชา จะดับอวิชชาได้ วิชชาต้องเกิด คือ รู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เมื่อวิชชาเกิดแล้วอวิชชาจะดับ สังขารก็จะดับได้ Q: สงสัยในนิกายที่ต่างออกไปและไม่เคารพอาจารย์อื่นจะบาปหรือไม่?A: ความเคลือบแคลง เห็นแย้ง เป็นวิจิกิจฉา เป็นบาป แต่เราไม่ได้ผิดศีล ก็ให้ปรับจิตใจ ...
    続きを読む 一部表示
    58 分
  • “สันทิฏฐิโก” รู้เห็นได้ด้วยตน [6849-7q]
    2025/12/06

    Q: การศรัทธาในบางสิ่งแล้วบนบานได้ผล เป็นเพราะเหตุใด

    A: ผลของการอ้อนวอนขอร้อง บางครั้งอาจเกิดจากเทพบันดาล บางครั้งอาจเกิดจากผลกรรมที่ทำมา ซึ่งเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งนี้ เมื่อเราได้ยินได้ฟังอะไรมา ให้นำมาพิจารณาใคร่ครวญ ว่าสอดคล้องลงรับกับมรรค 8 หรือไม่ ให้เราตั้งปณิธานในการทำความดี ด้วยความดีของเรา แทนที่จะบนบานอ้อนวอนขอร้อง ก็ให้ “ตั้งจิตอธิฐาน” ให้เหมาะสม อธิฐานไม่ใช่ขอ แต่ “การอธิฐาน” หมายถึง การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้า ในการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วให้บุญกุศลที่เราทำมาออกผล ในจุดที่เราอยากให้สำเร็จ อธิฐานอย่างนี้แล้วตั้งอยู่ในธรรม

    Q: ศรัทธาที่ไม่เชื่อแม้พระศาสดาเช่นท่านพระสารีบุตร เป็นเช่นไร

    A: ศรัทธาที่เกิดจากการปฎิบัติจนเป็นผลแล้ว รู้เองเห็นเองแล้ว จึงไม่เชื่อตามบุคคลอื่น ในคำสอนของศาสดาตน

    Q: รู้อะไรเห็นอะไรถึงจะเรียกว่า “สันทิฏฐิโก”

    A: เห็นประจักษ์ในสิ่งที่เราได้รับผล รู้ว่าสิ่งไหนเป็นกุศล สิ่งไหนเป็นอกุศล ไม่ต้องให้ใครมาบอกมาเตือน ถ้าทำไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี รู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น ในคำสอนของศาสดาตน

    Q: อาจิณณกรรม กับ จิตสุดท้าย อะไรที่สำคัญกว่ากัน

    A: “อาจินณณกรรม” คือ กรรมที่ทำเป็นประจำเป็นอาจิณ ส่วน “จิตสุดท้าย” คือ จิตตอนที่จะตาย ถ้าจิตสุดท้ายดีก็ไปสุขคติ ถ้าไม่ดีก็จะไปทุคคติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำกรรมดีเป็นอาจิณ จิตสุดท้ายก็มีแนวโน้มจะไปในทางดีได้ ถ้าเราทำอาจิณกรรมในทางไม่ดี ก็จะไปทางไม่ดีได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น จะมี “กรรมตัดรอน” คือ ลดผลของอาจิณกรรมนั้น และ “กรรมหนุนนำ” คือ เสริมผลของอาจิณกรรมนั้น ให้เราเป็นผู้ไม่ประมาท ปฏิบัติตามมรรค 8 จะเป็นไปเพื่อการสิ้นกรรมได้

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    続きを読む 一部表示
    51 分
  • หลักธรรมที่เอาชนะกิเลส [6848-7q]
    2025/11/29
    Q: พระสงฆ์มีวิธีลดละกิเลสได้อย่างไร?A: พระธรรม หมายถึง คำสอน, พระสงฆ์ หมายถึง หมู่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้เอาตัวอย่างพระสงฆ์ในเรื่องของการปฏิบัติ ส่วนเรื่องคำสอนเอาตัวอย่างจากพระธรรม สำหรับพระสงฆ์ วิธีที่ท่านใช้ ท่านก็ใช้มรรค8 เหมือนกัน และมีเครื่องมือในการกำจัดกิเลส เครื่องมือกำจัดกิเลสแบบละเอียด ๆ คือ “ปัญญา” เครื่องมือกำจัดกิเลสแบบกลาง ๆ คือ “สติ/สมาธิ” สติจะเป็นเครื่องมือให้เกิดสมาธิ จะทำให้สมาธิเพิ่มต้องเพิ่มสติ คือ สังเกตดูจิตของเรา สติจะเกิดได้ ต้องใช้อนุสติ 10 และเครื่องมือที่จะกำจัดกิเลสแบบหยาบ ๆ คือ “ศีล/สมาธิ” Q: ใช้สติทบทวนตนว่าผิดพลาดได้หรือไม่?A: ในกระบวนการทำความเพียร พอเราระลึกได้ว่าเราต้องทำความดี ความระลึกได้นั้นคือ “สติ” การลงมือทำคือความเพียร พอเรามีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาวายามะ องค์อื่น ๆ ของมรรค จะตามมาหมด เราก็จะมาตามทางนั่นเอง Q: สืบสานการปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ทำอย่างไร?A: ให้เราโยนิโสมนสิการตามระบบของ “อริยสัจ 4” ว่าเหตุปัจจัยใดที่ทำให้เราทำได้ และเหตุปัจจัยใดที่ทำให้เราทำไม่ได้ เมื่อพิจารณาแล้วก็ให้สร้างเหตุปัจจัยให้พอเป็นไปได้ พอทำได้ ทั้งนี้ การฟังธรรมเสมอ ๆ การมีกัลยาณมิตรจะช่วยได้ สำหรับนักบวช ท่านให้พิจารณาดังนี้ว่า “หากอกุศลกรรมที่ยังละไม่ได้ก็ละไม่ได้ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น ควรหนี ควรเลิก ไม่ควรคบ อย่าอยู่” แต่ถ้าอยู่ที่ไหนแล้ว “กิเลสที่ยังละไม่ได้ก็ละได้ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น ให้อยู่ ให้ทำ ให้คบ ให้ปฏิบัติเลย” Q: วิธีสร้างความมุ่งมั่นขยันมีกำลังใจให้ชนะกิเลส A: การสร้างความมุ่งมั่นและกำลังใจเพื่อเอาชนะกิเลส ต้องอาศัยหลักธรรม คือ “อินทรีย์ 5” ซึ่งประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิและปัญญา คือเราต้องเริ่มจากศรัทธาก่อน เราต้องมีความมั่นใจเชื่อใจ แล้วเราลงมือทำจริงแน่วแน่จริง นั่นคือ “วิริยะ” วิริยะจะทำลายความขี้เกียจได้ ที่สำคัญคืออย่าหยุดอยู่แค่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ต้องพัฒนาต่อเนื่อง ทำซ้ำ ๆ วนไป ๆ จะบรรลุธรรมได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
    続きを読む 一部表示
    57 分
  • ปฏิปทาถึงความสิ้นภพ [6847-7q]
    2025/11/22
    Q: จิต กับ ธาตุรู้ คืออะไร อยู่ที่ไหน เหมือนและต่างกันอย่างไร?A: เหมือนกัน คือ อยู่ในช่องทางใจและเป็นนามเหมือนกัน ต่างกัน คือ ธาตุรู้ มาจากคำว่า วิญญาณธาตุ ทำหน้าที่รับรู้เฉย ส่วน ”จิต” เป็นลักษณะภาวะของการสะสม เข้าไปเกลือกกลั้วและเสวยอารมณ์Q: วิธีแก้โรควิตกจริตA: เปรียบเหมือนตัดต้นไม้ ที่ตัดที่โคนต้น พอฝนผ่านมา ต้นไม้นั้นก็งอกขึ้นมาใหม่ เราต้องขุดรากถอนโคนต้นไม้นั้น นำมาตัด มาผ่า เผา จนเป็นถ่านเป็นขี้เถ้า บดให้ละเอียด แล้วโปรยในที่ลมพัดแรงหรือในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด ในการขุดรากถอนโคนนั้น ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณามรณสติ ทำซ้ำ ทำย้ำ อยู่เรื่อยๆ จะระงับความคิดนี้ได้Q: กาม และ อกุศลธรรม มีซอฟต์พาวเวอร์ หรือไม่?A: กาม (ราคะ โทสะ โมหะ) มีสภาวะบังคับ บีบคั้น ไม่ใช่ ซอฟต์พาวเวอร์ แต่เป็น ฮาร์ดพาวเวอร์ ทั้งหมด เพราะกาม บีบบังคับเราให้ต้องทำ ส่วน ธรรมะทั้งหมดเป็นซอฟต์พาวเวอร์ เพราะไม่ได้ถูกบีบบังคับ ให้เป็นไปตามอำนาจ ราคะ โทสะ โมหะ คือ ทางสายกลางหรือมรรค 8 นั่นเองQ: ทุกข์สัมพัทธ์กับเวลาหรือไม่?A: เวลาและสถานที่ เป็นลักษณะของภพ เพราะมีภพ จึงมีการเกิด เพราะมีการเกิด จึงมี ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน เพราะฉะนั้น “ทุกข์” ต้องมีเวลา ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ก็มีเวลาทั้งนั้นQ: ความไม่เที่ยงและเวลาเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันหรือไม่?A: เหตุปัจจัยของเวลา ในที่นี้หมายถึง ภพ (เวลา/สถานที่) เหตุปัจจัยของภพ คือ อุปาทาน (ความยึดถือ) ความยึดถือจึงเป็นเหตุเงื่อนไขของเวลาและสถานที่, อุปาทาน เป็นตัณหา ไม่ใช่มรรค, ความไม่เที่ยงเป็นเหตุให้ถึงความดับแห่งภพ จะดับภพได้ ก็เพราะความดับไม่เหลือของอุปาทาน จะดับอุปาทาน ก็ต้องปฏิบัติตามมรรค 8 ซึ่ง หน้าที่ ที่ทำต่างกัน, ความไม่เที่ยง ต้องทำให้มาก พัฒนาให้มี ทำให้เจริญ โยนิโสมนสิการตามหลักอริยสัจสี่ แล้วเราจะไม่หลงประเด็น Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
    続きを読む 一部表示
    51 分
  • เมื่อศรัทธาพัฒนาเป็นปัญญา [6846-7q]
    2025/11/15
    Q: สัมมาทิฏฐิในระดับโลกุตระและโลกียะเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร?A: “สัมมาทิฎฐิ” คือ ความเห็นที่ถ้ามีแล้วจะทำให้กิเลสลด แบ่งเป็นโลกุตระและโลกียะ, “สัมมาทิฐิแบบโลกุตระ” หมายถึง เหนือโลก มีความเห็นความเข้าใจในอริยสัจสี่ ตรงที่เห็นและเข้าใจ เกี่ยวเนื่องกันตรงที่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นกับตัวเราเหมือนกัน ส่วน “สัมมาทิฐิแบบโลกียะ” หมายถึง ยังเนื่องด้วยโลก ยังอยากเกิด ลักษณะคือเริ่มด้วยความเชื่อ ความศรัทธาว่าบาป บุญมี โลกนี้มี โลกหน้ามี เข้าใจด้วยปัญญา ปัญญาที่เป็นโลกียะ จะรักษาเราให้อยู่ในทาง ไม่ให้ออกนอกทาง เราสามารถพัฒนาศรัทธา ลงมือปฏิบัติจริง ทำจริงแน่วแน่จริง จะทำให้เกิดปัญญา ที่เป็นปัญญาในระดับโลกุตระต่อไปได้Q: ศรัทธากับปัญญาอย่างไหนประณีตมากกว่ากันA: ปัญญามีความปราณีตมากกว่า ท่านเปรียบเทียบไว้กับนม เมื่อผ่านกระบวนการหมักเคี่ยวจนในที่สุดจะได้เนยใส เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนความเชื่อเป็นปัญญาด้วยการปฏิบัติ หากเพียงแค่ฟังเป็น “สุตตมยปัญญา” แต่พอเราใคร่ครวญเป็น “จินตมยปัญญา” เมื่อใคร่ครวญแล้ว ลงมือทำให้เห็นผลเป็น “ภาวนามยปัญญา”Q: คนธรรมดาสามารถปฏิบัติจนถึงโลกุตตระได้หรือไม่?A: ตราบใดที่คำสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ และมี "ผู้ที่เคยทำได้" (พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก) เป็นเครื่องยืนยัน เราทุกคนก็สามารถทำได้เช่นกัน แม้ว่าหนทางอาจต้องใช้ความเพียรพยายาม แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่จะลงมือทำQ: ถ้ายังสงสัยการมีของภพหน้าจัดว่าเป็นวิจิกิจฉาใช่หรือไม่?A: ถ้ามีวิจิกิจฉาแสดงว่าไม่เชื่อ เราไม่ควรจะหยุดอยู่ที่แค่ความเชื่อ แต่ควรจะลงมือทำ ตั้งสติ ทำสมาธิ เราจะรู้ได้ด้วยปัญญา เมื่อรู้ได้ด้วยปัญญาแล้ว เราก็ไม่ต้องอาศัยความเชื่อตามคนอื่น แต่เรารู้เฉพาะตนว่ามันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ยินได้ฟังอะไรมา เราต้องโยนิโสมนสิการว่าตรงตามมรรค 8 หรือไม่ ถ้าใช่ให้ลงมือทำ ถ้าไม่ใช่อย่าทำQ: สัทธรรมปฏิรูปคืออะไรจะรู้ได้อย่างไร?A: เมื่อได้ยินได้ฟังอะไรมาให้นำมาเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก โดยท่านแบ่งสัทธรรมปฏิรูป ไว้เป็น 2 อย่างคือ “...
    続きを読む 一部表示
    53 分
  • สติแก้จิตกระเพื่อม [6845-7q]
    2025/11/08

    Q: โจทก์ภิกษุด้วยอาบัติปาราชิกในการอวดอุตริมนุษยธรรม

    A: “ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน เป็นปาราชิก เว้นไว้แต่เข้าใจผิด” เป็นแม่บทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้

    “อุตริมนุษธรรม” คือ ธรรมที่เหนือมนุษย์ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์เป็นอุตริมนุสธรรม ส่วนธรรมของมนุษย์ทั่วไปคือศีล 5

    “อวด” คือ พูดว่าตัวเองทำได้ แต่ไม่ได้แสดงให้ดู หากอวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีจริง ไม่มีแล้วบอกว่ามี พระท่านจะอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ ยกเว้นเข้าใจผิดว่ามี แต่ความจริงไม่มี

    Q: เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก เราควรวางจิตอย่างไร?

    A: ถ้าเป็นพระภิกษุ ท่านไม่มีสมบัติอะไรนอกจากบาตรและจีวร ท่านพูดได้แค่ว่ามีของหาย หากพระไปแจ้งตำรวจว่ามีคนมาขโมยของแล้วตำรวจจับโจรเข้าคุก ท่านจะปาราชิก กรณีญาติโยมทั่วไป ถ้าของหายจะตามเอาก็ตามได้ แต่ขอให้ใจของเรา ไม่ควรจะเคียดแค้น ไม่ผูกเวร เพราะมันไม่คุ้ม เพราะความเคียดแค้น ผูกเวรจองเวร จิตใจเราจะไม่เป็นสุข

    Q: นั่งสมาธิแล้วจิตกระเพื่อม ส่ายไปมาขวาซ้าย ๆ มีวิธีแก้อย่างไร?

    A: หากมั่นใจว่าไม่ใช่อาการทางกาย การที่จิตกระเพื่อมนั้น คือ การปรุงแต่งของจิต ให้เราตั้งสติขึ้น โดยใช้อนุสติ 10 อย่าง อันใดอันหนึ่ง ในที่นี้ใช้อานาปานสติ เมื่อเรามีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ ไม่ตามการปรุงแต่งทางกายนั้นไป การปรุงแต่งทางกายก็จะระงับ จิตตริตรึกอยู่กับลม อาการทางกายนั้นก็จะอ่อนกำลัง ทำให้มากพัฒนาให้มาก

    Q: ผู้ร่วมทำการสังคายนาพระไตรปิฎกต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ?

    A: การสังคายนาครั้งแรกมีขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน โดยจะมีเฉพาะเหล่าภิกษุขีณาสพ ทั้งหมด 500 รูป “การสังคายนา” เป็นการนำคำสอนของท่านมาพูด เมื่อเข้าใจตรงกันก็สวดขึ้นพร้อมกัน และท่านได้จัดหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการจดจำ ให้เป็นรูปแบบของภาษาที่จะรักษาคำสอน เรียกระบบนี้ว่า “ระบบพระไตรปิฎก”

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    続きを読む 一部表示
    58 分
  • ทุกข์ที่เป็นไปสามรอบ [6844-7q]
    2025/11/01

    Q: “ความทุกข์ที่เป็นไปสามรอบ” เป็นอย่างไร?

    A: ข้อความนี้มาในปฐมเทศนา พระสูตรที่ชื่อว่า “ธรรมจักรกัปวัฒนสูตร” ท่านได้ตรัสถึงอริยสัจสี่ที่มีรอบ 3 อาการ 12 ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณาทั้ง 4 อย่าง ๆ ละ 3 รอบ

    รอบที่ 1 รู้ว่า “นี้คือทุกข์”

    รอบที่ 2 รู้หน้าที่ที่ต้องทำกับทุกข์ ตัณหาต้องละ คือ การตระหนักว่าหน้าที่ต่อทุกข์ คือ “ต้องกำหนดรู้”

    รอบที่ 3 รู้ว่า “ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว”


    Q: วิมุตกับนิพพาน ต่างกันอย่างไร?

    A: “วิมุต” คือพ้น / เหนือ แยกจากกัน ท่านเปรียบเทียบกับ ใบบัวกับน้ำ โดนกันอยู่ก็จริงแต่มันไม่เนื่องกัน , ส่วน “นิพพาน” แปลว่า ดับ ใช้ในลักษณะดับจากกิเลส ดับไปในธรรมะของข้อใด ๆ เช่น เปลวไฟดับ คือดับไป


    Q: เมื่อเข้าใจสภาวะของจิตแล้ว จะหลุดพ้นได้อย่างไร?

    A: จิตยึดถือโดยความเป็นตัวตน ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นจิตของเรา จิตจึงมีตัวตน พอจิตไปรับรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ผ่านวิญญาณ ก็ไปยึดสิ่งต่าง ๆ ผ่านวิญญาณ ว่านี่รูปของฉัน เวทนาของฉัน ซึ่งเข้าใจผิดมันจึงทุกข์ คือพอเราเพลินเราพอใจ นั่นคือ “อุปาทาน” คือความยึดถือ คือ “ตัณหา” เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันจึงทุกข์ แต่พอเราเข้าใจสภาวะของจิตใหม่ให้ถูกว่า สิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่ตัวตนของฉัน ไม่ใช่อัตตาของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่เป็นตัวตนของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามสภาวะของมัน ความยึดถือมันจะอยู่ไม่ได้ พอมันอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะความยึดถือคือเหตุของทุกข์ ถ้าเราไม่มีเหตุของทุกข์ เราก็ไม่ทุกข์

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    続きを読む 一部表示
    57 分